Image
โพสต์ 13 มี.ค. 58 ปรับปรุง 13 มิ.ย. 58 1153 Views

ไขปริศนา เมื่อเด็กนอนกรน (Snoring Child)โดยศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ

ลูกนอนกรน หายใจเสียงดังเวลานอน มีอันตรายหรือไม่ ?

ภาวะการนอนกรนเป็นการหายใจเสียงดัง ซึ่งเกิดขึ้นในขณะหลับ พบได้ในทุกเพศทุกวัยจากการศึกษาพบว่าเด็กประมาณ 3-12 เปอร์เซ็นต์นอนกรนการนอนกรนพบบ่อยเป็นพิเศษในช่วงอายุก่อนวัยเรียน (Preschool) หรือช่วงระดับชั้นอนุบาล เนื่องจากขนาดของต่อมอดีนอยด์ และทอนซิลที่มักโตเมื่อเทียบกับขนาดของทางเดินหายใจเด็ก

Image

การนอนกรนมีอันตรายหรือไม่ ?

การนอนกรนอาจเป็นอันตรายได้ หากการนอนกรนนั้นเกิดร่วมกับภาวะการหายใจที่ลดลงหรือหยุดหายใจในขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea Syndrome) ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลงส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียง เด็กเมื่อนอนแล้วหายใจไม่ออกเนื่องจากทางเดินหายใจอุดตัน ก็จะนอนกระสับกระส่าย ตื่นนอนบ่อยทำให้การนอนหลับตอนกลางคืนไม่มีคุณภาพ, นอนหลับได้ไม่เพียงพอซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็ก

Obstructive Sleep Apnea Syndrome (OSAS)

Obstructive Sleep Apnea Syndrome (OSAS) คือความผิดปกติของการหายใจที่เกิดขึ้นในขณะหลับเกิดจากทางเดินหายใจที่มีการอุดกั้นบางส่วน หรืออุดกั้นอย่างสมบูรณ์ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ ขณะหลับ ทำให้เกิดการรบกวนต่อระบบการระบายลมหายใจและระบบการนอนหลับ

อัตราการเกิดพบประมาณ 2% ของประชากร พบในเด็กผู้หญิงพอ ๆ กับเด็กผู้ชายจะเห็นได้ว่าการนอนกรนแบบไม่เป็นอันตรายพบได้บ่อยกว่ามากอย่างไรก็ตามแพทย์มีความจำเป็นจะต้องตรวจวินิจฉัยเด็กที่นอนกรนแบบมีอันตรายหรือมีความผิดปกติของการหายใจ และให้การรักษาอย่างทันท่วงทีเนื่องจากหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

เด็กที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการนอนกรนผิดปกติ (OSAS) ได้แก่

1. มีต่อมทอนซิล และ/หรือ ต่อมอดีนอยด์โต
2. เด็กที่อ้วนมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
3. มีความผิดปกติของโครงสร้างของระบบทางเดินหายใจ เช่น มีกรามเล็ก, มีขนาดทางเดินหายใจแคบกว่าปกติ
4. มีความผิดปกติของสมองที่ทำให้การคุมการทำงานของกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจผิดปกติ เช่น Cerebral Palsy
5. เด็กที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากสาเหตุต่าง ๆ
6. เด็กที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม
7. เด็กที่มีปัญหาโรคปอดเรื้อรัง
8. อาการที่น่าสงสัยว่าลูกมีปัญหานอนกรนแบบมีอันตราย
9. มีอาการหายใจติดขัด, หายใจลำบาก หรือหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ร่วมกับการนอนกรนนอนกระสับกระส่าย, เหงื่อออกมากเวลานอน, ตื่นนอนกลางดึกบ่อย ๆ
10. ปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยควบคุมได้มาก่อน
11. อ้าปากหายใจ
12. มีปัญหาด้านการเรียน, เรียนได้ไม่ดี
13. มีปัญหาทางพฤติกรรม, สมาธิสั้น, อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
14. ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
15. ง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน
16. มีความดันโลหิตสูง

การวินิจฉัยทำอย่างไร

ในปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาภาวะการนอนกรนที่ผิดปกติทำได้โดยการทดสอบการนอนหลับ (Pneumogram) การทดสอบการนอนหลับที่เป็นมาตรฐานเป็นการทดสอบข้ามคืนใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง เด็กจะมานอนค้างคืนที่ห้องทำการทดสอบที่จัดเตรียมไว้ผู้ปกครองสามารถมาอยู่เฝ้าได้

การรักษา หากพบว่าเด็กมีภาวะการนอนกรนที่เป็นอันตรายก็จำเป็นต้องมีการรักษา การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ

การตัดต่อม Adenoid และ Tonsils ในรายที่มีต่อม Adenoid และ/หรือ Tonsils โต การตัดต่อมออกพบว่าช่วยรักษาการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับได้ถึง 75-100% จึงถือเป็นการรักษาหลังในผู้ป่วยกลุ่มนี้

ในผู้ป่วยซึ่งมีการอุดตันของทางเดินหายใจขณะหลับเกิดจากสาเหตุอื่น ๆที่ทำให้ทางเดินหายใจอุดตันตอนหายใจเข้าหรือในผู้ป่วยที่ตัดต่อมทอนซิลแล้วยังมีปัญหาหรือในรายที่มีปัญหาสุขภาพทางด้านอื่นไม่สามารถผ่าตัดได้จำเป็นจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อป้องกันการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับ (CPAP หรือ BiPAP)

การรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อแก้ความผิดปกติของโครงสร้างของทางเดินหายใจส่วนบนที่แคบกว่าปกติเป็นการทำ Craniofacial Surgery, Uvulopharyngopalatoplasty.

การรักษาอาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยร่วมให้เกิดปัญหาการหายใจที่ผิดปกติขณะหลับเป็นโรคภูมิแพ้, การควบคุมน้ำหนัก

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะนอนกรนชนิดที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจร่วมด้วยในขณะหลับทำให้มีออกซิเจนในเลือดลดลง ดังที่กล่าวมาแล้ว หากมิได้รับการรักษาหรือแก้ไขอย่างทันท่วงทีจะทำให้เด็กมีสติปัญญาต่ำ, ระดับการเรียนรู้ต่ำลง, มีสมาธิสั้น, Active มากไม่อยู่นิ่ง, ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน, ปัสสาวะรดที่นอน, ความดันโลหิตสูง, ความดันเลือดในปอดสูงซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจทำงานล้มเหลวได้

ขอขอบคุณ

Author

ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ

เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ

256 บทความ

ผู้ประพันธ์
Author

น.พ. ธวัชชัย -ลิมป์สถบดี

แผนกคนไข้ญี่ปุ่น ร.พ.กรุงเทพ

187 บทความ

ผู้ปรับปรุง
Author

ร.อ. นพ. พันเลิศ-ปิยะราช

ระบาดวิทยาคลินิค, ระบาดวิทยาโรคติดเชื้อ

19 บทความ

ที่ปรึกษา

คำสงวนสิทธิ์

รายงานฉบับนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ได้รวบรวมจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือในเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ต้องการเผยแพร่เพื่อประโยชน์ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่ได้เจตนาแนะนำข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรค ตลอดจนไม่ใช่เพื่อการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จึงไม่ขอรับรองความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน ของข้อมูลเกี่ยวกับยา โรค สาเหตุ อาการ วิธีการดูแลรักษา นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ บางส่วนยังไม่มีการรับรองผลของการใช้งาน รวมทั้งไม่มีหลักฐานรับรองที่สมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้น ผู้ใช้ข้อมูล ควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลหรือปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพิ่มเติม หากมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ทางศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้ หรือการอ้างอิงข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ และศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ดัดแปลงรายงานฉบับนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 เป็นอย่างไร

26 กุมภาพันธ์ 2557 351

เกิดจากเชื้อไวรัสหลายตัวแต่ตัวที่รุนแรงชื่อว่า “เอนเทอโรไวรัส 71” มักระบาดเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี โรคนี้แพร่กระจายติดต่อถึงกันได้โดยผ่านทางอุจจาระหรือละอองน้ำมูกน้ำลาย

โรคติดเชื้อ ไอ พี ดี (IPD ; Invasive Pneumocaccal Disease)

22 พฤษภาคม 2557 29

เกิดจากการติดเชื้อนิวโมคอคคัส ชื่อเต็มคือ สเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี่ (Streptococcus pneumoniae) เชื้อโรคชนิดนี้ เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อในเด็ก มักพบการติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และพบการติดเชื้อรุนแรงในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี

ต้องทำตัวอย่างไรให้แข็งแรง และปลอดภัย ในฤดูไข้หวัดใหญ่

11 มิถุนายน 2558 29

"ไข้หวัดใหญ่" เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ สามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรง และภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิตในคนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

แสดงความคิดเห็น

  1. Avatar
    Charles Haid
    1 มีนาคม 2558Reply
    ลูกรูปร่างอ้วนมีอาการนอนกรนไม่ทราบว่าเบื้องต้นควรรักษาอย่างไรครับ
    • Avatar
      BHRC
      1 มีนาคม 2558Reply
      ให้ลูกออกกำลังกายสม่ำเสมอซัก 1สัปดาห์ แล้วสังเกตุอาการกรนว่าลดลงหรือเปล่า ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์
  2. Avatar
    Terry McDonough
    3 พฤษภาคม 2558Reply
    ขอบคุณบทความดีๆ อ่านแล้วได้ประโยชน์มากครับ
  3. Avatar
    Charles Haid
    12 พฤษภาคม 2558Reply
    อยากขอคำปรึกษาจากแพทย์ ติดต่อได้ทางไหนบ้างครับ

แสดงความคิดเห็น

ค้าหาข้อมูลสุขภาพ