article_writer

40 3

สิ่งที่ควรปฏิบัติ ตอน แผ่นดินไหว ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

สิ่งที่ควรปฎิบัติก่อนการเกิดแผ่นดินไหว          เพื่อความไม่ประมาทศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพแจ้งเตรียมความพร้อมไว้ ดังนี้           – เตรียมกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ สำหรับใส่สิ่งของที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉิน และจัดวางในตำแน่งที่ทุกคนในบ้านทราบ ดังนี้1.อาหาร ได้แก่ น้ำดื่ม อาหารแห้ง (ตรวจสอบวันหมดอายุด้วย)2.อุปกรณ์ให้แสงสว่าง ควรมีไฟฉาย พร้อมถ่านไฟฉาย3.อุปการณ์ใช้รับฟังข่าวสาร เช่น วิทยุที่ใช้ถ่านไฟฉายได้ พร้อมถ่านสำหรับวิทยุ4.อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น5.รองเท้ายาง หรือรองเท้าหุ้มส้น เพื่อใส่ป้องกันการเหยียบเศษแก้วหรือของมีคม ที่พังและเสียหาย ไม่ให้รับบาดเจ็บ6.นกหวีด เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีติดอยุ่ภายในซากปรักหักพัง– ควรเตรียมเครื่องดับเพลิงไว้ในบ้าน และวางในจุดใกล้กับกระเป๋าฉุกเฉิน– ควรทราบตำแหน่งของ วาล์วปิดน้ำ สะพานไฟฟ้า สำหรับกรณีที่ต้องการตัดการส่ง น้ำและกระแสไฟฟ้า– ควรทราบตำแหน่งของ วาล์วปิดแก๊ส และจัดการป้องกันไม่ให้แก๊สรั่วไหล โดยใช้สายท่อแก๊สที่ยืดหยุ่นได้– ไม่ควรเก็บสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูงๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจหล่นลงมาเป็นอันตรายได้– ควรมีการพูดคุยวางแผนกับสมาชิกในครอบครัวเรื่องจุดนัดหมาย ในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมตัวกันอีกครั้งในภายหลัง– ควรตรวจสอบดูว่าที่พักอาศัยนั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงภัย แผ่นดินไหวหรือไม่1.สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว2.เสริมบ้านหรืออาคารให้มั่นคงแข็งแรงมากขึ้นเพื่อต้านแผ่นดินไหว3.ตรวจสอบบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง4.ยึดติดอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ กับพื้นหรือผนังบ้านอย่างแน่นหนา เช่น ทำที่ยึดตู้และเฟอร์นิเจอร์ไว้ไม่ให้ล้ม ติดยึดชุดโคมไฟบนเพดานให้มั่นคง สิ่งที่ควรปฎิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว           ภัยแผ่นดินไหวจะเกิดการสันสะเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงมักมีเหตุอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้งอาจเกิดแผ่นดินแยก แผ่นดินถล่มและอาคารอาจไม่พังทลายในทันทีแต่อาจจะพังทลายภายหลัง ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหว อันดับแรกสุดคือ …

สิ่งที่ควรปฏิบัติ ตอน แผ่นดินไหว ไม่ใช่เรื่องไกลตัว Read More »

39 3

สิ่งแปลกปลอมในรูหู

บางท่านคงเคยสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเนื่องจากปวดหูอย่างมาก รวมทั้งอาจมีเสียงกุกกัก-ก๊อกแก๊ก ในหูข้างที่ปวดร่วมด้วยบางครั้งปวดจนน้ำตาไหลและอาจหาอุปกรณ์อะไรบางอย่างเช่น ไม้แคะหูมาเขี่ยในรูหู ยิ่งเขี่ยยิ่งเจ็บและปวดมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหวรับประทานยาแก้ปวดยาแก้อักเสบก็ไม่ทุเลา จึงต้องรีบไปพบแพทย์เมื่อได้รับการตรวจจึงพบว่ามีแมลงหรือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อยู่ในรูหู เช่นมด เห็บ หมัดซึ่งมันได้กัดหรือทำร้ายเนื้อเยื่อในรูหูจึงทำให้มีอาการปวดมากๆ          สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปอยู่ในรูหูนั้น มีทั้งที่มีชีวิต เช่น แมลง มด แมลงสาป เห็บ หมัด และสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่นเมล็ดถั่ว ทราย ลูกปัด ตุ้มหู ขนไก่ ขนนก ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านั้นอาจเข้าไปอยู่ในหูด้วยความตั้งใจ เช่น เด็กเล็กๆหยิบเอาเมล็ดถั่วเขียวใส่รูหูตัวเอง หรืออาจไม่ได้ตั้งใจ เช่น เศษสำลีจาก Cotton bud ตกค้างอยู่ในรูหูภายหลังจากที่ผู้ป่วยทำความสะอาดหูตัวเองหรือมดไต่เข้าไปโดยที่คนไข้ไม่ทันได้ระวังตัว          และเนื่องจากสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้มีการขยับตัวจึงทำให้เกิดเสียงต่างๆ ขึ้นในหูข้างนั้นๆ ได้แก้วหูและรูหูของคนเรามีเส้นประสาทมาเลี้ยงมากมายเพราะฉะนั้นคนไข้จึงรู้สึกเจ็บได้มากๆโดยเฉพาะถ้าสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นกัดหรือกระแทกเนื้อเยื่อในรูหูถ้าสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นขยับตัวไปมาตลอดเวลาสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งแรกที่ผู้ป่วยควรทำคือ หยอดหูด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันทาผิวสำหรับเด็ก (baby oil) เพื่อให้มันตายหรือหยุดเคลื่อนไหวแมลงส่วนใหญ่จะเสียชีวิตได้จากการขาดอากาศหายใจ เมื่ออยู่ในน้ำมันแต่มักพบว่าเห็บและหมัดมีความอดทนสูงกว่าแมลงอื่นๆจึงยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้เห็บและหมัดนอกจากจะกัดเนื้อเยื่อในรูหูของผู้ป่วยทำให้รู้สึกเจ็บแล้วบางครั้งยังคงวางไข่ไว้ในรูหูอีกด้วย           เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจรูหูและเยื่อแก้วหู และคีบเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากรูหูบางครั้งสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้อาจทำให้เกิดแผล หรือเนื้อเยื่ออักเสบได้จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำเข้าหูเนื่องจากความชื้นจะทำให้การอักเสบลุกลามมากยิ่งขึ้นและแผลหายช้ารวมทั้งอาจทำให้เกิดหนองในรูหูได้ สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้และการอักเสบที่เกิดขึ้นอาจทำให้หูอื้อได้บ้างแต่อาการหูอื้อที่เกิดขึ้นมักจะไม่รุนแรงและอาการหูอื้อจะหายไปเมื่อได้นำสิ่งแปลกปลอมออกจากหูรวมทั้งได้รับการรักษาอาการอักเสบที่มีอยู่ให้หายไปด้วยอาการอักเสบในหูที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมนั้นมักจะรักษาให้หายสนิทได้โดยใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ถ้ารับประทานยาหรือใช้ยาหยอดหูแล้วไม่ทุเลาควรรีบกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ …

สิ่งแปลกปลอมในรูหู Read More »

38 3

สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด

สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอดพบได้สองลักษณะคือ จงใจสอดใส่ หรือไม่จงใจสอดใส่ ในกรณีที่จงใจสอดใส่ โดยมากเป็นผลจากการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุที่มีขนาดเล็ก เช่น กิ๊บดัดผม เข็มกลัด จนถึงวัตถุขนาดใหญ่เช่น ถ่านไผฉายหรือผลไม้สุก เช่น กล้วย ในเด็กจะพบได้เช่นกันจากการซุกซน ไม่ได้มีเรื่องของอารมณ์ทางเพศ ที่พบเช่น เมล็ดผลไม้ต่าง ๆ ยางลบ และที่บ่อยคือ ปลิง จากการเล่นน้ำลำคลอง สำหรับในกรณีที่ไม่จงใจอาจจะเป็นสาเหตุจากการหลุดลืมจากคู่นอน เช่น ถุงยางอนามัย อุปกรณ์ช่วยการร่วมเพศ เช่น หนังยางรัดอวัยวะเพศเป็นต้น สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เมื่อค้างคาในช่องคลอด จะก่อให้เกิดการระคายเคือง และมีการอักเสบติดเชื้อตามมา ในกรณีที่มีเชื้อรุนแรงและมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อช่องคลอด อาจจะทำให้การอักเสบลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง ก่ออันตรายรุนแรงได้ อาการตกขาวเรื้อรังจะเป็นอาการนำมาของความผิดปกติกลุ่มนี้ ซึ่งควรจะต้องพบแพทย์เมื่อตกขาวเรื้อรังโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)ผู้ประพันธ์

37 3

สำรวจพบ จุลินทรีย์ที่ก่อโรคอาหารเป็นพิษในปลาแซลมอน

ส่วนใหญ่เกิดจากการปนเปื้อนจากอุปกรณ์เครื่องครัว เช่น มีด เขียงและภาชนะร่วมกัน โดยไม่ได้ล้างให้สะอาด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เฝ้าระวังคุณภาพและความปลอดภัยของปลาแซลมอนและซาชิมิที่จำหน่ายในประเทศ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค           นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยนิยมบริโภคเนื้อปลาโดยเฉพาะเนื้อปลาแซลมอนทั้งในรูปนำมาปรุงให้สุกและในรูปของปลาดิบที่รู้จักกันดีในนามของซาซิมิ เมื่อมีการสื่อสารกันในสังคมการสื่อสารยุคใหม่เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในการบริโภคเนื้อปลาแซลมอน จนทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวล และไม่สบายใจ โดยเฉพาะผู้ที่นิยมบริโภคปลาชนิดนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร จึงได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เฝ้าระวังความปลอดภัยมาตลอด โดยการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนัก 3 ชนิด ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะมีการปนเปื้อน คือ ปรอท ตะกั่ว และแคดเมียม ในเนื้อปลาแซลมอนที่นำเข้าตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 จนถึงปัจจุบัน โดยการตรวจหาปริมาณปรอทในเนื้อปลาแซลมอน จำนวน 78 ตัวอย่าง ตรวจพบ 46 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 59 ปริมาณที่พบตั้งแต่น้อยกว่า 0.01-0.04 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และตรวจหาปริมาณตะกั่ว จำนวน 62 ตัวอย่าง …

สำรวจพบ จุลินทรีย์ที่ก่อโรคอาหารเป็นพิษในปลาแซลมอน Read More »

36 3

สารอาหารสำหรับร่างกาย

ถ้าต้องนำอาหารแต่ละชนิดมาวิเคราะห์ทางเคมี เราพบว่ามีสารอาหารที่ แบ่งตามหลักโภชนาการ ออกเป็น 6 ประเภทดังนี้1.โปรตีนเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย รวมทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง อวัยวะต่างๆล้วนเป็นเนื้อเยื่อมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น 2.คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญโดยให้พลังงานแก่เราและพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตนี้จะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าโปรตีนหรือไขมัน 3.ไขมันเป็นสารอาหารที่ถือว่าเป็น จอมพลังงาน เพราะให้แคลลอลี่มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งไขมันบางชนิดจะเป็นชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้เรียกว่าไขมันจำเป็นเพราะช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี และเค ที่ละลายในไขมัน 4.วิตามินเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนไม่มากนัก แต่จำเป็นเพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆของการเผาผลาญพลังงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ร่างกายสามารถสร้างวิตามินได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 5.เกลือแร่เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะเกลือแร่แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง สามารถแบ่งเกลือแร่ออกเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการในขนาดมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมเป็นต้น และชนิดที่ร่างกายต้องการขนาดน้อย เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ไอโอดีน เป็นต้น 6.น้ำเป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ มนุษย์อาจอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำ 2-3 วัน ก็อาจเสียชีวิตได้ น้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับสองรองจากออกซิเจน ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)ผู้ประพันธ์

35 3

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

จะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการให้คำแนะนำดังต่อไปนี้ อาหารที่ท่านรับประทานมีแร่ธาตุ และวิตามินเหล่านี้หรือไม่? วิตามินดี          มีการวิจัยว่าการขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกเปราะ ซึ่งจะทำให้หลังค่อมในผู้สูงอายุ กระดูกแตก เปราะ ดังนั้น นมเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีที่สุด ธาตุเหล็ก          ผู้หญิงมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีการเสียเลือดทุกเดือน จากการมีรอบเดือน ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และหากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ท่านจะมีอาการเหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจาง อาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อแดง ปลา ธัญพืช ผักขม พืชกระกูลถั่ว และผักต่าง ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกไทย มะเขือเทศ พืชจำพวกมะนาว กะหล่ำปลี และมันฝรั่ง แคลเซียม          เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลกระดูก 1% ทุกปี ซึ่งนำไปสูงสาเหตุของการเป็นโรคกระดูกเปราะ แต่หากท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน และ 1,500 มิลลิกรัมหลังวัยหมดประจำเดือน …

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย Read More »

34 3

สารระเหย

ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พุทธศักราช 2519 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยฉบับที่ 2 พุทธศักราช 2534 แบ่งยาเสพติดออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ยาเสพติดให้โทษ 2. วัตถุออกฤทธิ์ และ 3 สารระเหย สำหรับสารระเหย ได้แก่ สารที่ได้มาจากขบวนการผลิตน้ำมันปิโตรเลียม มีลักษณะเป็นไอ ระเหยได้ในอากาศ ซึ่งเมื่อสูดดมเข้าไปจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย สารระเหยที่มีผู้นำมาเสพโดยการสูดดมมีหลายอย่าง เช่น ทินเนอร์ น้ำมันเบนซิน แล็กเกอร์ กาวยางน้ำ น้ำยาล้างเล็บ สีกระป๋องสำหรับพ่น วัยรุ่นจำนวนมากที่หลงผิดหันไปสูดดมสารระเหย โดยไม่รู้ว่าสารระเหยมีพิษร้ายแรงกว่าเฮโรอีนและทำให้เกิดความพิการอย่างถาวรแก่อวัยวะในร่างกาย ไม่สามารถบำบัดรักษาให้หายเป็นปกติได้ โทษและภัยของสารระเหยที่มีต่อร่างกาย อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ           1. โทษที่เกิดขึ้นทันทีทันใด พิษของสารระเหยทำให้เกิดอาการต่างๆ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสารระเหยและปริมาณที่เสพ ถ้าเสพในปริมาณสูงเกินขนาดจะทำให้หัวใจหยุดเต้น บางรายทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดหัวใจวายเสียชีวิตได้          2. โทษที่เกิดขึ้นจากการเสพในระยะเวลานาน สารระเหยจะเข้าไปทำลายระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เสื่อมสมรรถภาพ เช่นทำลายระบบทางเดินหายใจ เกิดการอักเสบของหลอดลม เยื่อบุจมูกมีเลือดออก …

สารระเหย Read More »

33 2

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ในปัจจุบันมีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัยให้เลือกใช้ในท้องตลาดอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดจะมีข้อดี-ข้อด้อยแตกต่างกันไป ดังนั้นถ้าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะทำให้เราสามารถ เลือกใช้สารให้ความหวานเหล่านี้ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ สารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดที่ให้พลังงาน ได้แก่ ฟรุกโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลจากผลไม้ มอลทิทอล ซอร์บิทอล และไซลิทอล สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงานหรือให้พลังงานต่ำ ได้แก่ ซูคราโลส สตีเวีย ซึ่งเป็นสารสกัดจากหญ้าหวาน แอสปาแตม อะซิซัลเฟม-เค แซคคารีนหรือที่เรียกว่าขัณฑสกร สารให้ความหวานกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวาน สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (sweetener) เป็นสารเคมีที่ใช้กันมากอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งให้รสหวานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ให้พลังงาน ใช้แทนที่น้ำตาลซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานใช้ไม่ได้ จึงเป็นสารที่มีคุณค่าทางการแพทย์ นอกจากนั้นยังใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารสำหรับผู้เป็นโรคอ้วนและใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เพื่อลดต้นทุนการผลิตพระราชบัญญัติอาหาร สารให้ความหวานแทนน้ำตาลถูกจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 และใช้อักษรย่อว่า “คน” ปัจจุบันมีอยู่ 2-3 ยี่ห้อในท้องตลาด โดยทุกยี่ห้อใช้สารทดแทนหลักเหมือนกันคือแอสปาเทม (aspartame) แอสปาเทมประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดต่อกัน คือ ฟินิลอลานิน (phenylalanine) และกรดแอสปาติก (aspartic acid) แอสปาเทมให้ความหวานประมาณ …

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล Read More »

32 3

สารเมลามีน

สารเมลามีน (melamime)มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่มีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ แต่เมลามีนก็ไม่ใช่สารอาหารโปรตีน สารเมลามีนมีสูตรทางเคมีว่า C3H6N6 ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ หนึ่งโมเลกุลของสารเมลามีน ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน 3 อะตอม ธาตุไฮโดรเจน 6 อะตอม และธาตุไนโตรเจน 6 อะตอม สารเมลามีนมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,5-triazine-2,4,6-triamine ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสูงถึงร้อยละ 66           สารเมลามีนเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกหรือใช้ทำกาว แต่เมลามีนไม่ได้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหาร เนื่องจากสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติทนความร้อน จึงนิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะพลาสติก ถุงพลาสติก น้ำยาดับเพลิง น้ำยาทำความสะอาด กาว หมึกสีเหลือง รวมถึงพบในยาฆ่าแมลงด้วย ส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับถ้วยชามเมลามีนหรือจานเมลามีนที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป           สารเมลามีนเป็นผงสีขาว ลักษณะคล้ายนมผงจนแยกไม่ออก เมื่อนำไปละลายน้ำ หรือผสมในนมจะตรวจพบปริมาณไนโตรเจนสูงซึ่งการจะตรวจว่าน้ำนมนั้นมีโปรตีนสูงหรือไม่ จะวัดจากค่าของไนโตรเจน ดังนั้นถ้าผสมสารเมลามีนซึ่งมีไนโตรเจนสูงเข้าไปในน้ำนม จะถูกทำให้เข้าใจว่าน้ำนมมีโปรตีนสูง พิษของสารเมลามีน           – ฤทธิ์ของสารเมลามีนนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานเข้าไปโดยตรง เพียงแค่สูดดมเข้าไป หรือผิวหนังสัมผัสก็ทำให้เกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบได้แล้ว เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายไม่สามารถย่อยสารเมลามีนได้ ไตจึงไม่สามารถขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะ           – …

สารเมลามีน Read More »

31 3

สารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid)

สารสำคัญในขมิ้นชัน คือ สารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) ขณะนี้ทางองค์การเภสัชกรรมผลิตเป็นอาหารเสริม “จีพีโอ เคอร์มินท์” ชนิดแคปซูลในขนาดความเข้มข้นสูงร้อยละ 80 ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่จากขมิ้นชันเป็นครีมเพื่อบำรุงผิวพรรณ ครีม “จีพีโอ เคอร์มินท์” มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่สูงกว่าวิตามินอีถึง 58 เท่า คณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติฯ พิจารณาเป็น “โปรดักส์ แชมเปี้ยน” ของประเทศ มั่นใจศักยภาพขมิ้นชันสร้างรายได้เทียบเท่าโสมเกาหลี           สารเคอร์คิวมินอยด์ในขมิ้นชันมีประโยชน์หลายด้าน โดยเฉพาะช่วยขจัดมลพิษในกระแสเลือด (anti-oxidant) ซึ่งจะมีมากขึ้นตามอายุ เนื่องจากเซลล์ร่างกายที่มีการแตกตัวและย่อยสลายไป โดยเฉพาะผู้เป็นโรคโลหิตจางบางกลุ่มที่มีการแตกสลายของเม็ดเลือดแดง จากการทดลองกับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่โรงพยาบาลศิริราช          พบว่า ถ้ารับประทานจีพีโอ เคอร์มินท์ ขนาด 250 มิลลิกรัมทุกวันเช้าเย็น เป็นเวลา 6 เดือนมลพิษในกระแสเลือดจะลดลงร้อยละ 30 ทั้งนี้ มลพิษที่อยู่ในกระแสเลือดถ้ามีจำนวนมากจะไปจับเซลในร่างกาย ทำให้เซลเสื่อมเร็ว เซลอักเสบและเป็นมะเร็งในที่สุด สารสำคัญในขมิ้นชันจะช่วยทำให้ปริมาณมลพิษรวมทั้งคอเรสเตอรอลลดลง ซึ่งคนสูบบุหรี่ดื่มสุราจะมีมลพิษในกระแสเลือดมาก           ขมิ้นชันใช้ป้องกัน และรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ การที่เหง้าขมิ้นชันสามารถป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยไปกระตุ้นให้หลั่งสารเมือกออกมาเคลือบกระเพาะอาหาร …

สารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) Read More »

30 3

สายพันธุ์ของเชื้อไวรัส เอชไอวี

สายพันธุ์ของเชื้อไวรัส เอชไอวี เป็นเชื้อที่กลายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก เกิดมิวเตชันแทบตลอดเวลา ในร่างกายของผู้ติดเชื้อจะพบเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ต่างๆ ในตัวคนเดียวกัน การจัดจำแนกชนิดของเชื้อไวรัสเอชไอวีใช้ข้อมูลรหัสพันธุกรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน สามารถแบ่งออกเป็น types, groups และsubtypes เชื้อไวรัสเอชไอวีตรวจพบครั้งแรกในเลือดของผู้ป่วยชาวคองโกในปี 1959ปัจจุบันพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีมี 2 ชนิด คือ HIV type 1 (HIV-1) และ HIV type 2 (HIV-2) จากการศึกษาจีโนมของไวรัสเอชไอวีทั้งสองชนิด ย้อนหลังไปหลายสิบปี พบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV-1 เริ่มติดต่อสู่คนครั้งแรกเมื่อประมาณปี 1930 ส่วนเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV-2 เริ่มติดต่อสู่คนครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1940-1950 เชื้อไวรัสเอชไอวีทั้งสองชนิดมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกับไวรัสก่อโรคในลิงที่มีชื่อเรียกว่าไวรัสเอสไอวี (SIV) ย่อมาจาก simian immunodeficiency virus ทั้งนี้คำว่า simian หมายถึงสัตว์จำพวกลิง ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 และ HIV-2           1.เชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-2 ติดต่อได้ยากกว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-1           2.ระยะเวลาระหว่างการติดเชื้อครั้งแรกกับเมื่อปรากฏอาการของโรคของเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-2 …

สายพันธุ์ของเชื้อไวรัส เอชไอวี Read More »

29 3

สาเหตุของอาการหูอื้อหูตึง

อาการหูอื้อ หูตึง หมายถึงการได้ยินไม่ชัด หรือสมรรถภาพการได้ยินลดลง เป็นอาการที่พบได้บ่อยและเป็นอาการนำที่สำคัญของการสูญเสียการได้ยิน โรคหรือความผิดปกติใด ๆก็ตามที่เกิดขึ้นตั้งแต่หูชั้นนอกไปจนถึงหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการหูอื้อหูตึง ได้ทั้งสิ้น ความผิดปกติที่พบได้บ่อยเช่น ขี้หูอุดตัน แก้วหูทะลุหูชั้นกลางอักเสบส่วนในคนสูงอายุพบว่าการได้ยินเสียไปเนื่องจากประสาทหูเสื่อมเป็นส่วนใหญ่พึงระลึกไว้เสมอว่าสาเหตุของอาการหูอื้อ หูตึง มีหลายอย่างและบางอย่างก็อาจแก้ไขให้หายได้จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อนทุกราย           เมื่อเสียงจากภายนอกผ่านรูหูเข้ามา คลื่นเสียงจะทำให้แก้วหูสั่น แล้วส่งผ่านหูชั้นกลางเข้าสู่หูชั้นในซึ่งจะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นคลื่นกระแสไฟฟ้านำเข้าสู่สมองหูคนเราประกอบด้วยหูชั้นนอก หูชั้นกลางและหูชั้นใน หูชั้นในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมีลักษณะคล้ายก้นหอยทำหน้าที่รับเสียงกับส่วนที่เป็นอวัยวะรูปเกือกม้า 3 อันมารวมกันทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวหูชั้นในนอกจากจะแบ่งตามหน้าที่แล้วยังแบ่งตามโครงสร้างเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นกระดูก กับส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในภายในส่วนเยื่อหุ้มภายในจะมีของเหลวอยู่           เราอาจแบ่งระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินเป็น หูตึงน้อย หูตึงปานกลาง หูตึงมากถึงหูตึงรุนแรงและหูหนวก โดยใช้หน่วยวัดการได้ยินที่เรียกว่า เดซิเบล เป็นตัวกำหนดมาตรฐานคนปกติมักมีระดับการได้ยินที่ 25 เดซิเบลหรือน้อยกว่าพวกหูตึงค่าความดังนี้จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆและพวกที่หูหนวกมีระดับการได้ยินเสียไปมากกว่า 90 เดซิเบล           ปัญหาหูหนวกหูตึงย่อมมีผลต่อการพูดคุย และการสื่อความหมาย รวมไปถึงผลกระทบทางสังคมกับคนข้างเคียงยิ่งในเด็กแล้วผลที่ตามมาอันใหญ่หลวงคือทำให้ไม่สามารถพัฒนาการเรียนรู้ทางด้านภาษาและการพูดให้สมบูรณ์สอดคล้องกับวัยได้เสียงที่ดังเกินไปอาจจะมีผลทำให้หูตึงชั่วคราวหรืออาจทำให้หูตึงหรือประสาทหูเสื่อมแบบถาวรหูตึงชั่วคราวมักเกิดภายหลังจากที่ไปได้ยินเสียงดัง ๆ ในช่วงไม่นานนัก เช่นหลังเทศกาลตรุษจีนที่มีการจุดประทัดกัน ส่วนหูตึงแบบถาวรมักพบในพวกที่ได้รับเสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เช่นพวกที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลาเสียงที่ดังนี้นอกจากจะมีผลต่อการได้ยินแล้ว ยังมีผลต่อร่างกายอีกหลายด้านเช่น อาจรบกวนการนอน รบกวนประสิทธิภาพในการทำงาน …

สาเหตุของอาการหูอื้อหูตึง Read More »

28 3

สาเหตุของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์ (gout) เกิด จากการที่ระดับของกรดยูริคสูงในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมกรดยูริคในร่างกายจำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้วกรดยูริคจะตกผลึกเมื่อระดับของกรดยูริคในเลือดมากเกิน 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร การที่ร่างกายมีกรดยูริคสะสมมากกว่าปกติ เป็นระยะเวลานาน ก็จะไปตกตะกอนอยู่บริเวณรอบๆ ข้อ หรือภายในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น โรคเก๊าท์เกิดจากการที่มีระดับของกรดยูริคในเลือดสูง และไปตกเป็นผลึกเรียกว่า ผลึกยูเรท อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ โดยเฉพาะที่ข้อ บริเวณใกล้ข้อและที่ไต การที่จะเกิดการตกเป็นผลึกยูเรทตามเนื้อเยื่อต่างๆ ได้นั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัย คือระดับกรดยูริคในเลือด และสภาพของเนื้อเยื่อ ซึ่งเอื้อให้เกิดการตกผลึกเป็นผลึกยูเรท สภาพของเนื้อเยื่อของแต่https://www.bangkokhealth.com/cimages/gout01.jpgละ คนไม่เหมือนกัน ระดับของกรดยูริคในเลือดยิ่งสูงเท่าไร โอกาสตกเป็นผลึกก็มากขึ้น บางคนระดับกรดยูริคในเลือดไม่สูงมาก แต่ก็เกิดการตกเป็นผลึกยูเรทได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อของคนคนนั้น เอื้ออำนวยให้เกิดการตกเป็นผลึกยูเรท โรคนี้พบได้บ่อย หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะได้รับประโยชน์มาก แต่หากไม่ได้รับการรักษา หรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจต้องพบกับการพิการทางข้อ และหรือไตวายเรื้อรังได้ สารพิวรีน           กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ เซี่ยงจี้ เป็นต้น ร่าง กายจะย่อยพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริค และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริคจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมดทันกับการ สร้างขึ้นพอดี ในคนที่เป็นโรคเก๊าท์ …

สาเหตุของโรคเก๊าท์ Read More »

27 3

สะอึก

หลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ในการ “สะอึก” มาบ้างแล้ว และทราบดีว่าการที่จะทำให้หยุดสะอึกอย่างจงใจนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ การสะอึก (hiccup) เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่าง ช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้าไปก่อน และจะหยุดหายใจเข้านั้น ทันทีทันใด เนื่องจากทางเข้าหลอดลมจะปิด ทำให้เสียงดังของการสะอึกเกิดขึ้นทุกครั้งไป อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อ ระหว่างช่องปอด และช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้นประสาท 2 เส้น คือ เส้นประสาทเวกัส vagus nerve และเส้นประสาทฟรีนิก phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นมาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันที ทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น อาการสะอึกอาจเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง อาจใช้เวลาเป็นวินาทีหรือ 2-3 นาที ซึ่งอาจพบได้บ่อยๆ แต่ถ้าหากสะอึกอยู่นานๆ เป็นครั้งค่อนชั่วโมงหรือเป็นวันๆ อาจจะต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสะอึกที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับจะมีความหมายมากกว่าการสะอึกในเวลากลางวัน กลไกการสะอึก 1. ขณะที่หายใจเข้า กะบังลมที่อยู่ตอนล่างของช่องอกจะเคลื่อนลงล่าง ทำให้ปอดขยายตัว และดึงดูดให้อากาศเข้าปอด2. กะบังลมเกิดการกระตุก …

สะอึก Read More »

26 3

สมองฝ่อในผู้สูงอายุ

สมองฝ่อเป็นความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะด้านความจำที่เสื่อมลงไปทีละน้อย มีการเสื่อมของเซลล์สมอง มีจำนวนเซลล์น้อยลง สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบ แต่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุประมาณ 75 ปีขึ้นไป สภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองน้อย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคสมองฝ่อ ในคนสูงอายุที่มีอาการนี้ อาจเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหลายๆ เส้น เกิดการตายของเซลล์สมองหลายๆ ตำแหน่ง ขนาดไม่ใหญ่ถึงกับทำให้คนสูงอายุนั้นเป็นอัมพาต ไม่มีอาการอะไรรุนแรง นอกจากความจำเสื่อม ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มทีมีแอลกอฮอล์มาก มีส่วนทำให้เกิดโรคสมองฝ่อได้มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม           ความเสื่อมของร่างกายนั้นเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยชรา ไม่เพียงแต่สมองเท่านั้นที่เสื่อมลง อวัยวะอื่นๆ ก็เสื่อมด้วย เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ผมร่วง ฟันโยกคลอน ตาฝ้าฟาง หูตึง เป็นต้น “สมองฝ่อ” หมายถึงการที่เนื้อสมองสูญหายไปจำนวนหนึ่ง มักเกิดกับคนชรา ที่จริงแล้วไม่ใช่โรคแต่เป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย คนแก่บางคนอายุมากแล้วสมองยังไม่ฝ่อก็มี สมองมนุษย์           สมองมนุษย์มีเซลล์ที่พัฒนามาอย่างวิเศษ เรียกว่า เซลล์ประสาท (neurons) ประมาณ 140,000 ล้านเซลล์ แต่ละเซลล์จะมีกิ่งก้านสาขาเชื่อมติดกับเซลล์ประสาทอื่นๆ ถึง 15,000 จุดเชื่อมต่อ ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีความสลับซับซ้อนกว่าคอมพิวเตอร์ที่ว่ายุ่งยากสุดๆ แล้วเสียอีก …

สมองฝ่อในผู้สูงอายุ Read More »

Scroll to Top