ข้อมูลสนับสนุนความต้องการวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นเข็มที่ 3
ผลการศึกษาพบว่าหลังจากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสอาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์แปรเดลต้าได้น้อยลงด้วย แม้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไปจะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้ายแรง แต่ข้อมูลล่าสุดแนะนำว่าการฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการป้องกันการติดเชื้อหรือในกลุ่มที่การเจ็บป่วยเล็กน้อย ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าในบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรแนวหน้าอื่นๆ ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 นั้นลดลงเมื่อเวลาผ่านไปเช่นกัน ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ลดลงน่าจะเกิดจากสาเหตุมาจากระยะเวลาที่ผ่านไปนับนับตั้งแต่ได้รับการฉีดวัคซีน (เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง) รวมทั้งการติดเชื้อที่มีความสามารถในการแพร่กระจายสูงมากอย่างเช่นสายพันธุ์เดลต้า
ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกขนาดเล็กแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้น Pfizer-BioNTech เพิ่มภูมิคุ้มกันในผู้เข้าร่วมการทดลองที่ฉีดครบสองเข็มมาเกิน 6 เดือน
การฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 คืออะไร?
วัคซีนกระตุ้นโควิดคือ การฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหลังจากฉีดวัคซีนครบจำนวนแล้ว และระดับภูมิคุ้มกันเริ่มลดลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป การฉีดวัคซีนกระตุ้นได้รับการวางแผนเพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนรักษาระดับของภูมิคุ้มกันได้นานมากขึ้น
วัคซีน coronavirus เข็มที่สามคืออะไร?
วัคซีน mRNA COVID-19 เข็มที่สาม (Pfizer หรือ Moderna) จะเหมือนกับสองเข็มแรก สามารถช่วยปกป้องผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งมีการตอบสนองต่อวัคซีนสองเข็มแรกไม่ค่อยดี บุคคลกลุ่มนี้สามารถฉีดเข็มที่ 3 ได้ทันที หลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนาน 28 วัน องค์การอาหารและยา (FDA) ได้อนุญาต และ CDC แนะนำว่า ผู้ที่มีภาวะทางการแพทย์บางอย่างที่กดระบบภูมิคุ้มกันจะได้รับวัคซีน COVID-19 ยี่ห้อเดียวกันกับที่พวกเขาได้รับในตอนแรก
ใครสามารถรับวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ได้บ้าง?
ตามคำแนะนำของ CDC ขณะนี้มีวัคซีนสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการพิจารณาว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางหรือรุนแรง ในกลุ่มต่อไปนี้:
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่อายุ 50-64 ปีที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ 50–64 ปีที่มีโรคประจำตัวควรได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ความเสี่ยงของการเจ็บป่วยที่รุนแรงจาก COVID-19 จะเพิ่มขึ้นตามอายุ และยังอาจเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ทุกวัยที่มีอาการป่วยแฝง
ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในสถานดูแลระยะยาว (Long-term care setting)
ผู้พักอาศัยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในสถานดูแลระยะยาวควรได้รับวัคซีนกระตุ้น เนื่องจากผู้อยู่อาศัยในสถานดูแลระยะยาวอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดและมักเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว พวกเขาจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและเจ็บป่วยรุนแรงจาก COVID-19 มากขึ้น
ผู้ที่มีโรคประจำตัวอายุ 18-49 ปี
ผู้ที่มีอายุ 18-49 ปีที่มีโรคประจำตัวอาจได้รับวัคซีนกระตุ้นโดยพิจารณาจากประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละคน ผู้ใหญ่อายุ 18-49 ปีที่มีโรคประจำตัวมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจาก COVID-19 มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนั้นไม่น่าจะสูงเท่ากับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีอายุ 18-49 ปีที่มีโรคประจำตัวอาจได้รับการฉีดกระตุ้นหลังจากพิจารณาถึงความเสี่ยงและผลประโยชน์ของแต่ละคนแล้ว
คำแนะนำนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม
พนักงานและผู้อยู่อาศัยที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่เชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้น
ผู้ที่มีอายุ 18–64 ปีที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่เชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานประกอบการหรือจากที่ทำงานอาจได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 โดยพิจารณาจากประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละคน ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18-64 ปีที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในสถานที่บางแห่ง (เช่น สถานพยาบาล โรงเรียน ราชทัณฑ์ ที่พักพิงไร้บ้าน) อาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น ซึ่งอาจแพร่กระจายในที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัย เนื่องจากความเสี่ยงนั้นอาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและขึ้นอยู่กับจำนวนการแพร่กระจายของ COVID-19 ในชุมชน
คำแนะนำนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยง และควรได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ที่ [ 1 ] (อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต)
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า (เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักดับเพลิง ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดูแลชุมชน)
- เจ้าหน้าที่การศึกษา (เช่น ครู เจ้าหน้าที่สนับสนุน พนักงานรับเลี้ยงเด็ก)
- คนงานด้านอาหารและการเกษตร
- พนักงานฝ่ายผลิต
- เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์
- พนักงานบริการไปรษณีย์
- พนักงานขนส่งมวลชน
- พนักงานร้านขายของชำ
กลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังได้รับการรักษาอยู่
- ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและกำลังรับประทานยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดภายในสองปีที่ผ่านมาหรือกำลังใช้ยาเพื่อระงับระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวีและมีปริมาณไวรัสสูงหรือจำนวน CD4 ต่ำ หรือไม่ได้ใช้ยารักษาเอชไอวีในปัจจุบัน
- ผู้ป่วยที่กำลังใช้ยาเช่นสเตียรอยด์ขนาดสูงหรือยาอื่น ๆ ที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงอย่างมาก
เพราะอะไรจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3
CDC แนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อช่วยปกป้องพวกเขาจากการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 บางคนมีภาวะหรือรับประทานยาเฉพาะที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลงได้ ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน COVID-19 สองเข็มอาจมีการตอบสนองไม่เพียงพอ และได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในประชากรกลุ่มนี้
ท่านจะได้รับวัคซีนกระตุ้น COVID-19 ได้เมื่อไหร่ หากท่านไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
อาจมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมกลุ่มประชากรที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเมื่อมีข้อมูลมากขึ้น วัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต ผู้เชี่ยวชาญกำลังดูข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจว่าวัคซีนทำงานได้ดีเพียงใดสำหรับประชากรกลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาว่าตัวแปรใหม่ เช่น สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างไร
หากเราต้องการฉีดวัคซีนกระตุ้น แสดงว่าวัคซีนที่ฉีดไปไม่ได้ผล ใช่หรือไม่?
ไม่ใช่ วัคซีนโควิด-19 ทำงานได้ดีในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต แม้กระทั่งกับสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเริ่มเห็นการป้องกันที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรบางกลุ่ม
ความเสี่ยงที่จะได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้น มีอะไรบ้าง?
ข้อมูลปัจจุบันจากการรายงานผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นมีอาการคล้ายกับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก คือ อาการอ่อนเพลียและความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดเป็นผลข้างเคียงที่รายงานบ่อยที่สุด โดยรวมแล้ว ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรงถึงปานกลาง อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงที่รุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้น้อยมากเช่นเดียวกันกับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก
ท่านยังถือว่า “ฉีดวัคซีนครบแล้ว” หรือไม่ หากไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น?
ใช่. ทุกคนยังคงได้รับการพิจารณาว่าฉีดวัคซีนครบ เมื่อผ่านไปสองสัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 ในชุด 2 เข็ม เช่น วัคซีน Pfizer-BioNTech หรือ Moderna หรือสองสัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนครั้งเดียว เช่น วัคซีน J&J/Janssen
สามารถฉีดวัคซีนสลับชนิดกันได้หรือไม่ และมีประสิทธิภาพดีหรือไม่
ตอบ แม้ว่าวัคซีน Sinovac 2 เข็ม จะยังป้องกันการป่วยรุนแรงจากสายพันธุ์เดลต้าได้ดี แต่ประสิทธิภาพ ในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์เดลต้าลดลงมาก บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแล ผู้ป่วยโควิด 19 มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง แม้อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรงแต่ทำให้ต้องกักตัว ส่งผลให้ขาดทรัพยากร บุคคลในการดูแลผู้ป่วย กระทรวงฯจึงกำหนดให้ที่บุคลากรด่านหน้าที่ได้รับวัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) ครบ 2 เข็ม ควรได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด mRNA อีก 1 เข็ม ห่างจาก เข็มที่ 2 อย่างน้อย 4 สัปดาห์ ส่วนบุคลากรผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca ครบ 2 เข็มนั้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันยัง อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ จึงยังไม่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นในระยะนี้ สำหรับประชาชนทั่วไป ยังไม่ได้แนะนำให้ฉีดวัคซีน เข็มที่ 3 ในขณะนี้ จนกว่าการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรกจะดำเนินการได้มากแล้ว จึงจะมีการแนะนำต่อไป ควรให้คำแนะนำ ประชาชนทั่วไปว่า แม้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ยังสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ แม้ความรุนแรงจะลดลง จึงควรรักษา มาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง
เนื่องจากมีการระบาดของโรคโควิด 19 สายพันธุ์เดลตา บุคลากรกลุ่มใดควรได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้องมีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนชนิดใด และเมื่อใด
แหล่งข้อมูล
- https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/booster-shot.html
- https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/coronavirus/booster-shots-and-third-doses-for-covid19-vaccines-what-you-need-to-know
- แนวทางการดำเนินงานและการให้บริการการฉีดวัคซีนโควิด 19 กรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/vaccine-covid19/getFiles/11/1628849610213.pdf