สาเหตุ
เกือบทั้งหมดมักเกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัส ซึ่งมีหลายกลุ่ม หลายสายพันธุ์ ที่เป็นสาเหตุมีมากมาย กว่า 200 ชนิด กลุ่มที่สำคัญได้แก่ Rhinovirus พบได้ถึง 1/3 ของผู้ป่วยทั้งหมด รองลงมาได้แก่ Corona virus, Adenovirus, Coxsackie virus เป็นต้น เชื้อแบคทีเรียก็อาจเป็นสาเหตุเริ่มแต่แรกได้แต่พบได้น้อย ส่วนใหญ่การติดเชื้อแบคทีเรียของโรคหวัดมักเป็นการติดเชื้อซ้ำเติมภายหลังการติดเชื้อไวรัสพยาธิสภาพและการดำเนินโรค
โรคนี้เป็นโรคที่หายได้เอง แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด ในเด็กเล็กอาการมักรุนแรงกว่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่ อาการจะแสดงให้เห็นตั้งแต่รับเชื้อเข้าไปประมาณ 1-2 วัน และจะแสดงอาการมากที่สุดภายใน 2 – 3 วัน แล้วจึงจะค่อยๆ ทุเลาลง ภายใน 5 – 7 วัน เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปทางจมูก หรือระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เยื่อบุจมูกบวมแดง มีการหลั่งของเมือก ออกมาเป็นน้ำมูกใส แต่หากน้ำมูกระบายได้ไม่ดี มีการหมักหมมก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ข้นขึ้น หรือถึงขั้นเป็นสีเขียวได้ ทำให้หายใจไม่ออก และหากไหลไปด้านหลังที่คอก็จะทำให้มีอาการไอ เจ็บคอได้ตามลำดับ
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว ทำให้ร้องกวนงอแง และเบื่ออาหารตามมาได้ หากเชื้อติดในลำคอ จะทำให้เกิดคออักแสบแดง เจ็บคอ และมีเสมหะในลำคอ อาจมีโรคแทรกซ้อนถ้าเชื้อเข้าไปยังโพรงไซนัสรอบจมูก หูชั้นกลาง ต่อมน้ำเหลือง หลอดลมหรือปอด และหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เด็กอาจจะมีไข้สูงขึ้น น้ำมูกอาจจะเปลี่ยนจากใสเป็นข้นเขียวหรือเหลืองตามมาได้
อาการน้ำมูกไหล (running nose) จาม (sneezing) โพรงจมูกตีบหรือตัน (nasal obstruction) เจ็บคอ (sore throat) ไอ (cough) ปวดศีรษะ (headache) มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว (malaise)
ระยะติดต่อไปยังผู้อื่นตั้งแต่ 8 – 12 ชม. ก่อนปรากฏอาการ และตลอดระยะเวลาระหว่างมีอาการโดยเฉพาะช่วงมีไข้
การติดต่อ
- ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยจากการไอ จาม รดกัน
- สัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ ภาชนะต่างๆ ของผู้ป่วยหรือดื่มน้ำรับประทานอาหารในภาชนะเดียวกัน
- ที่ทำให้ สัมผัสทางอ้อมกับน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เข้าทางจมูกหรือปาก
ผลแทรกซ้อนหรือปัญหาที่เกิดตามมาของไข้หวัด
- การอักเสบของหูชั้นกลาง
- การอักเสบของไซนัสที่รอบจมูก เยื่อบุตาอักเสบ
- หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ปอดอักเสบ
- กระตุ้นหลอดลมหดเกร็งตัวทำให้ไอมาก หรือหายในลำบาก
- ชักจากไข้สูง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ / สมองอักเสบ
การดูแลเบื้องต้น ส่วนใหญ่เป็นการดูแลรักษาตามอาการ ได้แก่
- เช็ดตัวลดไข้หากมีไข้ รักษาความอบอุ่นของร่างกายให้พอดีให้ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้เสมหะไม่เหนียวจากการที่ผู้
- ป่วยจะมีแนวโน้มขาดน้ำจากการมีไข้ และรับประทานได้น้อย
- ดูแลเสมหะที่จมูกและคอ ในเด็กเล็กถ้ามีน้ำมูกเหนียว หรือแห้งให้หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ 5 – 10หยด แล้วใช้ลูกยางดูดออก หรือล้างจมูกแล้วสั่งออกอย่างถูกวิธี
- ผู้ป่วยควรเลี่ยงควันและไอเย็นจัด เนื่องจากจะไปกระตุ้นให้ไอและหลอดลมหดตัวขึ้นได้
- รับประทานอาหารให้ครบหมู่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
ยาที่มีบทบาทเกี่ยวข้อง
หากจำเป็นต้องใช้ ควรปรึกษาผู้มีความรู้ หรือบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร เป็นต้น โดยเฉพาะในแง่ข้อบ่งชี้ที่ใช้ สรรพคุณ ปริมาณที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวัง
ยาที่มักมีบทบาทเกี่ยวข้อง ได้แก่ กลุ่มยาลดไข้หากมีไข้ ยากลุ่มแก้ไอ หรือละลายเสมหะ หรือขยายหลอดลม
ยาบรรเทาอาการคัดจมูก ซึ่งอาจอยู่ในรูปรับประทานหรือหยอดจมูก หากไม่มีข้อห้าม ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกหากมีน้ำมูกไหลมาก ช่วยทำให้หายใจได้สบายขึ้น แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากทำให้เสมหะเหนียวแห้งขึ้น ดังนั้นในรายที่มีอาการไอควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มนี้เนื่องจากจะทำให้เสมหะเหนียวขึ้น และระบายเสมหะจากหลอดลมได้ยากขึ้น ส่วนยาต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือยาปฏิชีวนะ จะให้เมื่อสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ถ้า
– มีอาการหายใจลำบาก, หายใจแรง, หอบ
– มีไข้นานกว่า 3 วัน หรือมีไข้สูงมาก
– เด็กดูซึมลงมาก ทานไม่ได้ ไม่เล่นเหมือนเดิม
– สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ