“วิทยาศาสตร์มอบความหวังให้กับเราคือ การวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งอาจทำให้ นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบต่อปัญหาที่เอื้อมไม่ถึง ฉันไม่คิดว่า เราสามารถนิ่งดูดายได้ เนื่องจากยังมีอีกหลายโรคที่รอการรักษา เราได้เสียเวลามามากพอแล้ว และเราต้องไม่เสียมันไปอีก” คำกล่าวของ Nancy Reagan อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา ภริยาของประธานาธิบดี Ronald Reagan ผู้ชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์ หนึ่งในโรคที่รอความหวังรักษาให้หายขาดด้วย เซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ (stem cell)
การแพทย์ปัจจุบันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว การใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรคต่างๆ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง เพื่อให้ได้ข้อสรุปยืนยันถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยที่ชัดเจน มีเพียงบางโรคเท่านั้นที่มีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า สามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาได้ผลจริง บทความนี้จะทำให้ท่านได้รู้จักเซลล์ต้นกำเนิด กันมากขึ้น รวมถึงมีโรคใดบ้างที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาได้ในปัจจุบัน
เซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ (Stem cell) คืออะไร?
เซลล์ต้นกำเนิด หรืออีกชื่อทางการแพทย์คือ สเต็มเซลล์ คือ เซลล์ที่มีคุณสมบัติในการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนตัวเองได้ (self-renew) และสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง (differentiate) ให้กลายเป็นเซลล์อื่นที่ทำหน้าที่หลากหลายได้ (multiple functional cell types)
เซลล์ต้นกำเนิด ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1981 โดยท่าน Martin John Evans นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ทำการเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด จากเซลล์ตัวอ่อนของหนูได้เป็นผลสำเร็จ ต่อจากนั้นจึงประสบความสำเร็จในการศึกษาเซลล์ต้นกำเนิดในครั้งแรกในคนเมื่อ ปีค.ศ. 1998 โดยใช้เซลล์ของตัวอ่อนของคนที่อยู่ในระยะบลาสโตซีสต์ หรือ blastocysts (คือตัวอ่อนของคนที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับไข่ประมาณ 5วัน) หลังจากนั้นไม่นานโลกก็ได้พบจุดเปลี่ยนในวงการวิทยาศาสตร์ จากการโคลนนิ่ง (cloning) สัตว์ทดลองตัวแรกสำเร็จ ที่สถาบัน Roslin เมือง Edinburgh ประเทศสก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกในนามของ “แกะดอลลี่” นั่นเอง หลังจากนั้นการศึกษาเกี่ยวกับ เซลล์ต้นกำเนิด ก็เป็นไปอย่างกว้างขวาง แต่ด้วยความซับซ้อนของเซลล์ต้นกำเนิด รวมถึงข้อจำกัดในเรื่องจริยธรรมทางการแพทย์ ทำให้การพัฒนายังไม่ได้ผลก้าวหน้าอย่างที่คาดไว้
ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ เช่น เทคโนโลยี่ที่ตั้งโปรแกรมให้กับเซลล์ต้นกำเนิดของอวัยวะในร่างกายที่โตเต็มที่ (adult stem cell) ให้กลับมาทำหน้าที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดเริ่มแรกอีกครั้ง (Reprogramming) หรือเทคโนโลยีการเคลื่อนย้ายนิวเคลียส (Nuclear transfer) หรือโคลนนิ่ง (cloning) เพื่อที่จะได้ใช้เซลล์ของผู้ป่วยเองมาใช้ในการรักษาผู้ป่วย หรือการเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดให้กลายเป็นอวัยวะก่อน แล้วจึงนำไปปลูกถ่ายคืนในตัวผู้ป่วย (tissue engineering)
ที่มาของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)
หลายคนคงมีความคิดว่าเซลล์ต้นกำเนิดจะต้องนำมาจากเซลล์ตัวอ่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากในร่างกายคนเราก็สามารถพบเซลล์ต้นกำเนิดได้เช่นกัน โดยทั่วไปเราสามารถแบ่งแหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิดได้ 3 แหล่งคือ
1.จากเซลล์ตัวอ่อน ระยะ ‘เอ็มบริโอ’ ขณะอยู่ในครรภ์ (embryonic stem cell)
2.จากเซลล์ทารก ระยะ ‘ฟีตัส’ ขณะอยู่ในครรภ์ (fetal stem cell)
3.จากเซลล์ของอวัยวะในร่างกายของเรา (adult stem cell)
ในร่างกายของเรามีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ภายในไขกระดูกและเนื้อเยื่ออื่นต่างๆ เช่น เซลล์ไขมัน สมอง และกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถนำมาเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อใช้งานได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาทดลองอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากความยากในการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดให้มีชีวิตรอดนั้นจำเป็นต้องอาศัย สภาพแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ และต้องดูแลอย่างเข้มงวดทุกกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน และจริยธรรมทางการวิจัยมากำกับควบคุมอีกด้วย
บทบาทของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในปัจจุบัน และ อนาคตของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังรอการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปแต่เนื่องจากจำนวนอวัยวะจากผู้บริจาคนั้นไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้เกิดแนวคิดที่จะนำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงให้เป็นอวัยวะที่ต้องการ (organ-level tissue engineering) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการค้นคว้าในห้องทดลอง เพื่อจะนำมาใช้กับผู้ป่วยได้จริงในอนาคต
เนื่องจากแต่ละอวัยวะมีความซับซ้อนมากทั้งด้านรูปร่าง และการทำงาน เช่น ไตซึ่งมีรูปร่างเป็นท่อ และมีรูปทรงเป็นสามมิติ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่หลายอย่างทั้งการกรองของเสีย การสร้างปัสสาวะ และการหลั่งฮอร์โมน ดังนั้นการจะบังคับให้เซลล์ต้นกำเนิดเจริญเป็นอวัยวะที่ครบสมบูรณ์ดังกล่าว ทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตามความพยายามของมนุษย์ก็มิได้มีขีดจำกัดเช่นกัน ปัจจุบันอวัยวะที่มีความหวังว่าจะทำได้สำเร็จคือ การทำท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากมีความซับซ้อนน้อยกว่า โดยการสกัดเซลล์ต้นกำเนิดมาเพียง 1 ตารางเซนติเมตรก็สามารถเพาะเลี้ยงจนพัฒนาเป็นเซลล์บุท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ (Urothelial cell) ได้ถึง 4,202 ตารางเมตร หรือมีพื้นที่พอๆ กับสนามฟุตบอลเลยทีเดียว และในปีค.ศ. 1998 ได้มีนำเซลล์ต้นกำเนิดที่เพาะเป็นกระเพาะปัสสาวะมาใช้รักษาผู้ป่วย 7 ราย ที่ป่วยเป็นโรคการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ หลังจากได้รับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ (Cystoplasty) แล้ว พบว่า กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้นชัดเจนทั้งการขยายตัว ความจุ และการกลั้นปัสสาวะ ปัจจุบันการศึกษาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะยังคงพัฒนาต่อไปในระยะที่ 2 ขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA phase2) ก่อนที่จะนำมาใช้ในวงกว้างต่อไป
ใน ร่างกายของเรามีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ภายในไขกระดูกและเนื้อเยื่ออื่นต่างๆ เช่น เซลล์ไขมัน สมอง และกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถนำมาเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อใช้งานได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาทดลองอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากความยากในการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดให้มีชีวิตรอดนั้นจำเป็นต้อง อาศัย สภาพแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ และต้องดูแลอย่างเข้มงวดทุกกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน และจริยธรรมทางการวิจัยมากำกับควบคุมอีกด้วย
คือการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซมการทำงานของอวัยวะโดยการฉีดเข้าไปใน อวัยวะนั้นโดยตรง หรือฉีดเข้าไปในกระแสเลือด โดยหวังให้เซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดเข้าไปนั้นเปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ต้องการ เพื่อทำหน้าที่ซ่อมแซมต่อไป โดยจะขอยกตัวอย่างตับเป็นอวัยวะตัวอย่าง
เนื่องจากตับนั้นเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ทั้งการควบคุมการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษ และสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสูงในการซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) นั่นคือ เมื่อตับเกิดการบาดเจ็บ เซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือ จากการดื่มเหล้าเรื้อรัง หากตับแข็งถึงขั้นรุนแรงจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับใหม่ ซึ่งจำนวนตับที่บริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้สเต็มเซลล์จึงเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซม และทดแทนการปลูกถ่ายตับ หรือเพื่อประทังเวลาในช่วงที่รออวัยวะเพื่อปลูกถ่ายตับใหม่ อย่างไรก็ตามการรักษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในขั้นการทดลองก่อนจะนำมาใช้แพร่หลาย เป็นวงกว้างคือการใช้สารฉีดเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่แล้วในร่างกาย ให้ทำงานซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เราต้องการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การฉีดฮอร์โมน erythropoietin เข้าในร่างกาย เพื่อกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ในไขกระดูกให้เจริญเติบโตเป็นเม็ดเลือด แดง ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง เนื่องจากตับนั้นเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ทั้งการควบคุมการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษ และสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสูงในการซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) นั่นคือ เมื่อตับเกิดการบาดเจ็บ เซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือ จากการดื่มเหล้าเรื้อรัง หากตับแข็งถึงขั้นรุนแรงจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับใหม่ ซึ่งจำนวนตับที่บริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้สเต็มเซลล์จึงเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซม และทดแทนการปลูกถ่ายตับ หรือเพื่อประทังเวลาในช่วงที่รออวัยวะเพื่อปลูกถ่ายตับใหม่ [2] อย่างไรก็ตามการรักษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในขั้นการทดลองก่อนจะนำมาใช้แพร่หลาย เป็นวงกว้าง
1.นำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อก่อน แล้วจึงนำกลับมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย (Organ/Tissues Transplantation) เช่น การนำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงเป็นเส้นประสาท แล้วค่อยปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson Disease)
2.การ ใช้ เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคโดยตรง(Cell-based approach) เช่น การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปที่กล้ามเนื้อหัวใจของผู้ป่วยโดยตรง หรือฉีดเข้ากระแสเลือด เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจ
3.การฉีด สารกระตุ้นเพื่อให้ เซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่เดิมในร่างกายทำงานมากขึ้น (Endogenous stem cell) เช่น การฉีดฮอร์โมน Erythropoietin เข้าไปใน ร่างกาย เพื่อกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ในไขกระดูก ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในชีวิตประจำวัน และคำถามน่ารู้
ปัจจุบันวงการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดของระบบโรค เลือดมากที่สุด [5] จนสามารถนำมาใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคที่มีเซลล์ต้นกำเนิดผิดปกติในไขกระดูก สำหรับประเทศไทยจากคำแถลงของแพทยสภา ได้ระบุให้สามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้มาตรฐาน เพื่อการรักษาโรคเลือดเท่านั้น และโดยข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาพุทธศักราช 2552 ได้ระบุว่า ต้องเป็นการรักษาที่ทำการวิจัยมาแล้วจนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน ถ้าหลักฐานไม่ชัดเจนให้ถือเป็นงานวิจัย ที่ต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการการวิจัยก่อน และผู้ที่รักษาได้ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีวุฒิบัตรเฉพาะทาง
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากระแสเสริมความงามต่างๆ กำลังมาแรง โดยเฉพาะตามคลินิกเสริมความงามต่างๆ ซึ่งอ้างถึงการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ โดยมุ่งหวังที่จะเอาแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคจึงต้องเลือกอย่างฉลาด ขอยกตัวอย่าง องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) นั้นยอมรับให้ใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพียงข้อเดียวคือ เพื่อรักษาโรคที่จำเพาะเช่น มะเร็งเม็ดเลือด โดยต้องใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บจาก สายสะดือเด็กระหว่างคลอดเท่านั้น สำหรับข้อบ่งชี้อื่นนั้นยังไม่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ยังแนะนำประเทศอื่นว่า ถ้าต้องการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคอื่นๆ ควรต้องถามข้อบ่งใช้ และความปลอดภัยให้ดีก่อน และควรจะถามด้วยว่าการนำมาใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงทำการทดลองหรือไม่
สำหรับประเทศไทยยังได้ออกคำสั่งห้ามมีการนำเซลล์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของมนุษย์มาทำเครื่องสำอางอีกด้วย ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ้างว่า มีการใส่เซลล์ต้นกำเนิดลงไปนั้นต้องใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล ศึกษาหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจ เนื่องจากสเต็มเซลล์มีความเปราะบางและต้องการการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมพิเศษ เฉพาะ ซึ่งตามห้องทดลองทั่วไปยังเลี้ยงได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คลินิกต่างๆ จะเลี้ยงสเต็มเซลล์ไว้ได้เองในตู้เย็น หรือในหลอดฉีดยาโดยไม่มีสารเลี้ยงเซลล์ นอกจากนี้เครื่องสำอางที่อ้างว่าผสมสเต็มเซลล์เช่น จากรกแกะ ถือเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากว่าสเต็มเซลล์นั้นจะอยู่รอดจนนำมาใช้ให้เกิด ผลได้อย่างไร
ข้อมูลจากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่ามีการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงดังนี้
เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับเซลล์มะเร็งคือ เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็ว และเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์อื่นได้ โดยเซลล์มะเร็งบางชนิดก็มาจาก เซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ตามที่ต่างๆ ในร่างกายเรานั่นเอง ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็วมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้มากกว่าเซลล์ที่แบ่งตัวได้ช้า เช่น มะเร็งตับก็พบมากกว่ามะเร็งสมอง เนื่องจากเซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เซลล์ประสาทสมองนั้นไม่มีการแบ่งตัวอีกในผู้ใหญ่
ดังนั้นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปในร่างกายโดยตรงโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดนั้นเป็นชนิดใด จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดใดต่อไป และไปอยู่ที่อวัยวะใด ซึ่งหากควบคุมไม่ได้ก็จะแบ่งตัวจนเกิดมะเร็งขึ้นได้ ตัวอย่างเช่นที่ประเทศรัสเซียพบว่าเกิดมะเร็งสมองขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการเซลล์ต้นกำเนิดชนิด Fetal stem cellเกิดจากกรรมวิธีการเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดไม่ถูกต้อง มีเชื้อโรคอื่นปนเปื้อนเช่น เชื้อไวรัส นอกจากนี้หากเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากสัตว์ อาจต้องระวังเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าติดมาด้วยกับสิ่งที่เรายังไม่รู้แน่นอน ซึ่งนอกจากจะเปลืองเงินและเวลาแล้ว ยังทำให้เสียโอกาสที่จะรักษาด้วยวิธีอื่น ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ไว้แล้วชัดเจนว่าใช้ ได้จริง
เอกสารอ้างอิง
Courtney M. Townsend Jr., Beauchamp RD. Regenerative medicine. In: Sabiston Textbook of Surgery. 19th ed. Elsevier, 2012:178-86.
Atala A. Engineering organs. Curr Opin Biotechnol 2009;20:575–92.
Higgs DR. A new dawn for stem-cell therapy. N Engl J Med 2008;358:964.
Amariglio N, Hirshberg A, Scheithauer BW, et al. Donor-derived brain tumor following neural stem cell transplantation in an ataxia telangiectasia patient. PLoS Med 2009;6:e1000029.
Longo et al. Applications of Stem Cell Biology in Clinical Medicine. In: Harrison’s Principle of Internal Medicine. 18th ed. McGraw-Hill, 2012.
Craig T. Jordan, Ph.D., Monica L. Guzman, Ph.D.,Mark Noble, Ph.D.:Cancer stem cells.N Engl J Med 2006;355:1253-61.
Kotton CN. Zoonoses in solid-organ and hematopoietic stem cell transplant recipients. Clin Infect Dis. 2007;44:857-66.
FDA Warns About Stem Cell Claims. Accessed June 24, 2012 http://www.fda.gov/ForConsumers/ConsumerUpdates/ucm286155.htm?utm_campaign=Google2&utm_source=fdaSearch&utm_medium=website&utm_term=stem%20cell&utm_content=1#Advice
Consumer Information on Stem Cells. Accessed June 24, 2012 http://www.fda.gov/NewsEvents/PublicHealthFocus/ucm286218.htm
ชุดให้ความรู้เซลล์ต้นกำเนิดแก่ประชาชน. Accessed June 24, 2012 http://www.oryor.com/oryor_stemcell/stemcell-menu1-5-a1.html
อรพิณ พุทธานุภาพันธ์. Stem Cell ชะลอวัยได้จริงหรือ. ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา. Accessed June 24, 2012 http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=5120
นพ.ต่อพงศ์ พลจันทร์. คำถามเรื่องสเต็มเซลล์กับความงาม. Accessed June 24, 2012 http://www.drtorpong.com/index.php/stemcell-and-beauty
ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมเรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา พ.ศ. ๒๕๕๒ Access August 1, 2012 http://www.tmc.or.th/download/stemcell.pdf
การแถลงข่าวแพทยสภาแนวทางการรักษาและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 11.00 น.ณ ห้องประชุมไพจิตร อาคาร 7 ชั้น 9 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข Accessed July 27, 2012 http://www.tmc.or.th/detail_news.php?news_id=493&id=4
นายแพทย์ พัทธดนย์ ศิริวงศ์รังสรร
ผู้ประพันธ์